บทความสุขภาพ

วัคซีนที่ควรฉีด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสเจ็บป่วย

บทความโดย: วันที่อัพเดท: 26 มีนาคม 2567

วัคซีนที่ควรฉีด

เคยสงสัยหรือไม่ ทำไมจึงมีการกำหนดวัคซีนที่ควรฉีดตามอายุ? ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน มีโรคภัยที่ระบาดเป็นวงกว้างและคร่าชีวิตประชากรบนโลกเป็นจำนวนมาก แม้ว่าโรคบางส่วนได้ถูกกำจัดออกไปแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้แต่เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น และแน่นอนว่าการรักษาโรคเหล่านั้นก็ล้วนเป็นไปอย่างลำบาก ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการรักษาสูงมาก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวจึงมีการผลิตวัคซีนขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาส่วนนี้

อย่างที่ทราบกันว่าโรคระบาดบางโรคสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายแต่กลับมีภัยร้ายแรงถึงชีวิต กระนั้นผู้คนบางส่วนยังคงไม่เข้ารับวัคซีนเพราะการฉีดวัคซีนอาจส่งผลข้างเคียงกับร่างกาย และมีค่าใช้จ่ายด้วย ซึ่งในบทความนี้จะมาบอกข้อมูลที่มาหักล้างข้อเสียของวัคซีน ด้วยการอธิบายข้อที่ควรทราบเกี่ยวกับวัคซีน ว่าวัคซีนมีความสำคัญอย่างไร ทำไมถึงควรฉีด ทั้งยังมีแนะนำวัคซีนที่ควรฉีดในแต่ละช่วงวัยอีกด้วย


สารบัญบทความ
 


วัคซีน คือ อะไร

วัคซีน คือ สารที่ผลิตขึ้นจากเชื้อโรคที่ตายแล้วหรือถูกทำให้อ่อนแอลง เพื่อนำมาฉีดเข้าภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีขึ้นมา ซึ่งจะทำให้ร่างกายของเรามีภูมิคุ้มกันต่อโรคที่ได้รับวัคซีน ทำให้มีโอกาสติดโรคที่ร่างกายเคยรับเชื้อจากวัคซีนมาแล้วลดลง และนอกจากจะเป็นการป้องกันตนเองแล้ว ยังเป็นการป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่เชื้อเป็นวงกว้างได้ด้วย ซึ่งวัคซีนที่ควรฉีดนั้นจะขึ้นอยู่กับช่วงอายุและสภาพร่างกาย
 

วัคซีนมีความสำคัญอย่างไร

ในปัจจุบันมีวัคซีนที่ควรฉีดมากมาย แต่ผู้คนส่วนมากก็ยังไม่ให้ความสำคัญของการฉีดวัคซีนเท่าที่ควร เพราะมองว่าการฉีดวัคซีนแต่ละเข็มมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และยิ่งฉีดวัคซีนหลายประเภทเท่าไหร่ก็จะยิ่งเสียเงินค่าวัคซีนเพิ่มขึ้น ซึ่งการเข้าใจนั้นก็ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด 

แต่เมื่อคำนึงถึงเรื่องสุขภาพร่างกายแล้วจะเห็นได้ชัดว่าวัคซีนมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งวัคซีนที่ควรฉีดในแต่ละช่วงวัยก็จะแตกต่างกัน โดยการฉีดวัคซีนในแต่ละช่วงวัยมีความสำคัญ ดังนี้
 

  • กลุ่มผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือเตรียมตัวตั้งครรภ์

เมื่อวางแผนเตรียมพร้อมมีลูกน้อยที่สุขภาพแข็งแรง นอกจากจะต้องตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานเพื่อตรวจสุขภาพของทั้งฝ่ายชายและหญิงแล้ว ในระหว่างตั้งครรภ์อยู่นั้นก็ควรรับวัคซีนบางตัวด้วยเช่นกัน โดยการฉีดวัคซีนจะช่วยทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคุณแม่รวมถึงลูกน้อยในครรภ์ให้มีสุขภาพแข็งแรง และลดความเสี่ยงของโรคได้
 

  • กลุ่มเด็กแรกเกิด-ช่วงก่อนวัยเรียน

สำหรับเด็กช่วงแรกเกิดจนถึงช่วงก่อนวัยเรียนนั้นยังมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นการฉีดวัคซีนเด็กจึงเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ อีกทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายออกไปได้
 

  • กลุ่มเด็กนักเรียน-เด็กวัยรุ่น

ในกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ควรรับการฉีดวัคซีนซ้ำเพื่อให้วัคซีนช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และในกลุ่มนี้จะมีวัคซีนที่ควรฉีดเพิ่มเติม คือ วัคซีนมะเร็งปากมดลูก เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
 

  • กลุ่มผู้ใหญ่

เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ลดลง ดังนั้นจึงควรฉีดวัคซีนซ้ำเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยวัคซีนที่ควรฉีดซ้ำ คือ วัคซีนบาดทะยัก 
 

  • กลุ่มผู้สูงอายุ

เมื่อร่างกายอายุเพิ่มขึ้น ภูมิคุ้มกันในร่างกายก็จะลดลงทำให้ร่างกายก็จะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ดังนั้นในกลุ่มผู้สูงอายุจึงมีโอกาสเสี่ยงติดโรคหรือเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และเมื่อเป็นโรค ความรุนแรงก็จะมากขึ้น ทำให้หายป่วยได้ช้าลง เพราะฉะนั้นจึงควรฉีดวัคซีนเพื่อลดระดับความรุนแรงของโรค

นอกจากนี้แล้วในปัจจุบันยังมีโรคระบาดอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการฉีดวัคซีนจะช่วยควบคุมการเกิดโรคระบาด และช่วยลดระดับความรุนแรงของโรคระบาดนั้น ๆ ได้ระดับหนึ่ง

 

วัคซีนที่ควรฉีดทุกวัย

วัคซีนที่ควรฉีดในทุกช่วงวัย

ในปัจจุบัน มีโรคระบาดมากมายที่คอยทำลายร่างกายและสุขภาพของประชากรในระยะยาวอยู่ทุกปี ดังนั้นนอกจากจะต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีอยู่เสมอแล้ว ยังควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อช่วยลดโอกาสเกิดอาการเจ็บป่วย รวมถึงช่วยลดอาการของโรคในยามที่เจ็บป่วยได้ โดยวัคซีนที่ควรฉีดทุกวัยมีดังนี้
 

1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่

หนึ่งในวัคซีนที่ควรฉีดที่ทางแพทย์แนะนำให้กับทุกช่วงวัย คือ “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” อย่างที่ทราบกันว่าโรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่มีการระบาดเป็นวงกว้างเป็นประจำทุกปี โดยอาการของโรคไข้หวัดใหญ่จะมีความรุนแรงกว่าไข้หวัดทั่วไป อาการที่พบบ่อย ได้แก่ มีไข้สูง เวียนศีรษะ ปวดตัว หนาวสั่น อ่อนเพลีย และอาการอื่น ๆ ซึ่งในกรณีเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว จะมีโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนและเป็นเหตุทำให้เสียชีวิตมากขึ้น 

เพราะฉะนั้นวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงเป็นวัคซีนที่ควรฉีดเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันและลดความรุนแรงของอาการไข้หวัดใหญ่ โดยวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะสามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป 
 

2. วัคซีนปอดอักเสบ

โรคปอดอักเสบ เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Streptococcus pneumoniae ในปัจจุบันมีเชื้อนี้มากกว่า 90 สายพันธุ์ โดยแต่ละสายพันธุ์จะมีระดับความรุนแรงต่างกัน ซึ่งถ้าร่างกายกายได้รับเชื้อสายพันธุ์ที่รุนแรงก็จะทำให้มีโอกาสเสียชีวิตได้ ดังนั้นหากถามว่าวัคซีนปอดอักเสบควรฉีดไหม? วัคซีนปอดอักเสบเป็นวัคซีนที่ควรฉีดในทุกวัย 

วัคซีน IPD มีอยู่หลายประเภท แต่ที่นิยมฉีดจะเป็นวัคซีน IPD ประเภท PCV13 ที่ช่วยป้องกันเชื้อปอดอักเสบ 13 สายพันธุ์ เหมาะสำหรับเด็กอายุที่อายุน้อยกว่า 2 ปี และประเภท PPSV23 ที่ช่วยป้องกันเชื้อปอดอักเสบมากกว่า 23 สายพันธุ์ โดยเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
 

วัคซีนที่ควรฉีดสำหรับเด็กแรกเกิด

วัคซีนที่ควรฉีดเด็กแรกเกิด

ช่วงแรกเกิดเป็นช่วงที่ร่างกายยังมีภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้เชื้อโรคและไวรัสต่าง ๆ สามารถเข้าไปในร่างกายได้ง่าย และเมื่อเกิดโรคแล้วยังมีโอกาสที่อาการจะมีความรุนแรงที่ส่งผลต่อระบบในร่างกาย และชีวิตได้ ดังนั้นเพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคต่าง ๆ จะมีวัคซีนที่ควรฉีดสำหรับเด็กแรกเกิด ดังนี้
 

1. วัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน

โรคคอตีบ บาดทะยักและไอกรน เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการฉีดวัคซีนบาดทะยัก ไอกรน และคอตีบอยู่แล้ว แต่ก็ยังคงพบผู้ป่วยโรคดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคเหล่านี้ เด็กแรกเกิดจะต้องฉีดบาดทะยัก ไอกรน และคอตีบในช่วง 2 เดือน, 4 เดือน, 6 เดือน, และ 1 ปี 6 เดือนตามลำดับ
 

2. วัคซีนป้องกันหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) 

โรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน เป็นโรคอันตรายที่มักเกิดขึ้นกับกลุ่มเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุ ผู้มีภูมิคุ้มกันผิดปกติ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ซึ่งโรคดังกล่าวล้วนเป็นโรคที่ส่งผลถึงชีวิตได้ ดังนั้นวัคซีนโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมันจึงเป็นวัคซีนที่ควรฉีด โดยจะเริ่มฉีดครั้งแรกเมื่ออายุ 9-12 เดือน และจะต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นครั้งที่สองซ้ำ เมื่ออายุ 2 ปี 6 เดือน
 

3. วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี(HB) 

วัคซีนโรคตับอักเสบบี(HBV) เป็นวัคซีนที่ควรฉีดให้ครบ 3 เข็ม โดยจะเริ่มฉีดวัคซีนช่วงแรกเกิด ช่วง 1 เดือนหลังจากฉีดเข็มแรก และ 6 เดือนหลังจากฉีดเข็มที่สองตามลำดับ การฉีดวัคซีนตับอักเสบบีจึงช่วยป้องกันการเกิดโรคที่ส่งผลอันตรายต่อตับได้
 

4. วัคซีนโรต้า (Rota) 

ไวรัสโรต้า เป็นไวรัสที่เกิดจากการสัมผัสรับเชื้อเข้าไปในร่างกาย ทำให้เกิดอาการถ่ายเหลวและอาเจียน โดยอาการจะรุนแรงในเด็กทารกและเด็กเล็ก สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ก็สามารถป่วยจากไวรัสโรต้าได้ด้วยเช่นกัน แต่อาการจะรุนแรงน้อยกว่า เพื่อป้องกันการติดเชื้อ วัคซีนโรต้าจึงเป็นวัคซีนที่ควรฉีดเป็นอย่างมากสำหรับทารกและเด็กเล็ก

ในปัจจุบันวัคซีนโรต้าจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ 
 

  • ชนิด Monovalent จะต้องรับประทาน 2 ครั้งเมื่ออายุประมาณ 2 เดือนและอายุ 4 เดือน 
  • ชนิด Pentavalent จะต้องรับประทาน 3 ครั้งเมื่ออายุ 2 เดือน, 4 เดือน, และ 6 เดือนตามลำดับ

โดยวัคซีนโรต้าสามารถให้ครั้งแรกได้ภายในอายุ 15 สัปดาห์ และครั้งสุดท้ายไม่เกินอายุ 8 เดือน และการให้วัคซีนแต่ละครั้งจะต้องห่างอย่างน้อย 4 สัปดาห์
 

5. วัคซีนฮิบ (Hib) 

วัคซีนฮิบ (Haemophilusinfluenzae type b) เป็นวัคซีนที่ควรฉีดในเด็กที่มีอายุ 2 เดือน, 4 เดือน, 6 เดือน และสามารถฉีดกระตุ้นซ้ำได้อีกครั้งในช่วงอายุ 1 ปี 6 เดือน โดยวัคซีนจะช่วยป้องกันและลดโอกาสการเกิดโรคกล่องเสียงอักเสบ โรคปอดบวม และโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบในเด็กเล็กได้
 

6. วัคซีนโปลิโอชนิดเชื้อตาย (IPV) 

โปลิโอ เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่สามารถรับเชื้อจากอุจจาระ หรือการสัมผัสเชื้อที่ปะปนตามอาหาร น้ำ หรือการไอ จาม ซึ่งเชื้อจะไปทำลายระบบประสาท ส่งผลทำให้ร่างกายหายใจลำบาก เป็นอัมพาตจนถึงเสียชีวิตได้ ถึงแม้ว่าในประเทศไทยนั้นจะไม่พบผู้ป่วยโรคโปลิโอมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 แต่เด็กทุกคนก็ยังคงต้องรับวัคซีนอยู่เพื่อป้องกันการเกิดโรคต่อไป

ซึ่งวัคซีนโปลิโอชนิดเชื้อตายเป็นหนึ่งในวัคซีนที่ควรฉีดให้กับเด็กทุกคน โดยจะฉีดวัคซีน IPV ในช่วงอายุ 4 เดือน ควบคู่กับการหยอดวัคซีนโปลิโอชนิดรับประทาน (OPV) ในช่วง 2 เดือน, 4 เดือน, 6 เดือน, 1 ปี 6 เดือน, และ 4 ปีตามลำดับ
 

7. วัคซีนป้องกันวัณโรค

วัคซีนวัณโรค (BCG) เป็นวัคซีนที่ควรฉีดที่ในประเทศไทยกำหนดให้ฉีดให้กับเด็กแรกเกิดทุกคน มักจะฉีดวัคซีนบริเวณต้นไหล่ซ้ายของเด็กในช่วงระหว่างที่อยู่โรงพยาบาลก่อนที่จะกลับบ้าน โดยภูมิคุ้มกันจะเริ่มขึ้นหลังจากรับวัคซีนแล้ว 4-6 สัปดาห์ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรควัณโรคในเยื่อหุ้มสมองเด็กได้เป็นอย่างดี
 

8. วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (Live-JE) 

หนึ่งในวัคซีนที่ควรฉีดในเด็กเล็ก คือ วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี เนื่องจากเป็นโรคที่มักพบในเด็ก มักจะไม่แสดงอาการ แต่เมื่อแสดงอาการจะหมายความว่ามีอาการรุนแรงแล้ว ซึ่งจะส่งผลต่อสมอง ทำให้พิการทางสมอง หรือเสียชีวิตได้ 

ในปัจจุบันไม่มียาสำหรับรักษาโรคไข้สมองอักเสบเจอีโดยเฉพาะ ทำได้เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น แต่โรคดังกล่าวสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ดังนั้นวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีจึงเป็นวัคซีนที่ควรฉีดให้เด็กทารกเป็นอย่างยิ่ง โดยวัคซีนดังกล่าวจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ
 

  • ชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ จะต้องฉีด 2 เข็ม เข็มแรก เมื่ออายุ 9-12 เดือน และครั้งที่ 2 จะต้องฉีดห่างจากเข็มแรก 3-24 เดือน
  • ชนิดเชื้อตาย จะต้องฉีด 3 เข็ม เมื่อฉีดเข็มแรกแล้วจะต้องเว้นระยะห่างระหว่างเข็ม 4 สัปดาห์ และ 1 ปี ตามลำดับ

หมายเหตุ ในกรณีที่เคยได้รับวัคซีนเชื้อตายมาก่อนแต่ยังรับไม่ครบ สามารถฉีดวัคซีนชนิดเชื้อเป็นต่อได้
 

วัคซีนที่ควรฉีดสำหรับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น (ตั้งแต่อายุ 15-26 ปี)

วัคซีนที่ควรฉีดช่วงวัยรุ่น

ในช่วงอายุ 15-26 ปี จะเป็นช่วงที่พบปะสังคม ได้สร้างปฏิสัมพันธ์ต่าง ๆ ทำให้มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายในกรณีที่ร่างกายยังได้รับภูมิคุ้มกันไม่เพียงพอ ดังนั้นในกรณีที่ไม่มั่นใจว่าร่างกายได้รับวัคซีนในวัยเด็กครบ ควรฉีดซ้ำเพื่อช่วยป้องกันโรคอันตรายต่าง ๆ โดยวัคซีนที่ควรฉีดในช่วงวัยนี้มีดังนี้
 

1. วัคซีน HPV (มะเร็งปากมดลูก)

มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบในเพศหญิงมากเป็นอันดับ 2 เกิดจากการติดเชื้อ HPV ซึ่งเป็นเชื้อที่มักติดจากการมีเพศสัมพันธ์ ถึงแม้ว่าการติดเชื้อตัวนี้จะเกิดขึ้นบ่อยแต่ก็สามารถหายได้เอง แต่ก็มีกรณีที่ติดเชื้อ HPV เรื้อรังจนก่อให้เกิดเป็นโรคมะเร็งต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน

ถึงแม้ว่าเชื้อ HPV จะไม่ค่อยก่ออาการในเพศชาย แต่ก็เป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งในคอหอย ทวารหนัก มีหูดหงอนไข่ขึ้นที่อวัยวะเพศ รวมถึงมะเร็งอวัยวะเพศ ดังนั้นวัคซีน HPV จึงเป็นวัคซีนที่ควรฉีดทั้งเพศชายและเพศหญิง โดยเพศหญิงสามารถฉีดวัคซีนตัวนี้ได้ในช่วงอายุ 9-26 ปี และเพศชายฉีดได้ช่วงอายุ 9-21 ปี
 

2. วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ

ไวรัสตับอักเสบเอ คือ โรคติดต่อชนิดหนึ่งที่เกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อเข้าไป ซึ่งในกรณีที่ร่างกายรับเชื้อและมีอาการรุนแรงก็จะทำให้ตับวาย และถ้าเป็นโรคตับแข็งหรือตับเรื้อรังก็อาจจะส่งผลถึงชีวิตได้ 

ถึงแม้ว่าร่างกายวัยรุ่นบางส่วนมีภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ แต่ก็มีเพียงส่วนน้อยมากที่จะมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นโรคจากไวรัสตับอักเสบเอที่มีโอกาสส่งผลกระทบต่อตับ วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ จึงเป็นวัคซีนที่ควรฉีดสำหรับวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยฉีด
 

3. วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบี คือ โรคติดต่อชนิดหนึ่งที่สามารถติดต่อผ่านทางเลือด สารคัดหลั่งที่มีเลือดปนเปื้อน การมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้อีกด้วย ซึ่งในกรณีที่ติดเชื้อเรื้อรังก็จะพัฒนากลายเป็นโรคมะเร็งตับได้ ดังนั้นวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีจึงเป็นวัคซีนที่ควรฉีด โดยในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบีอยู่แล้วหรือไม่ ควรตรวจภูมิคุ้มกันก่อน
 

4. วัคซีนอีสุกอีใส

วัคซีนอีสุกอีใส เป็นวัคซีนที่ควรฉีดสำหรับวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยรับวัคซีน และยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน เนื่องจากอีสุกอีใสเป็นโรคติดต่อที่สามารถแพร่กระจายง่าย และสำหรับผู้ใหญ่ที่ป่วยโรคนี้จะมีอาการรุนแรง แต่อย่างไรก็ตามผู้ใหญ่มากกว่า 80% มีภูมิคุ้มกันต่อโรคอีสุกอีใสอยู่แล้ว ดังนั้นก่อนฉีดวัคซีนจึงควรตรวจภูมิคุ้มกันก่อน
 

5. วัคซีน MMR (หัด หัดเยอรมัน คางทูม)

สำหรับวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่ยังได้รับวัคซีนหัด หัดเยอรมัน และคางทูมไม่ครบ 2 เข็ม จะทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคเหล่านี้ไม่เพียงพอ และมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อได้ด้วย ดังนั้นในกรณีที่ไม่มั่นใจว่าเคยรับวัคซีนหัด หัดเยอรมัน และคางทูมครบ แนะนำฉีดวัคซีนกระตุ้นเพิ่มอย่างน้อย 1 เข็ม
 

วัคซีนที่ควรฉีดสำหรับวัยผู้ใหญ่ วัยกลางคน (ตั้งแต่อายุ 27-50 ปี)

วัคซีนที่ควรฉีดวัยกลางคน

ในช่วงอายุ 27-50 ปี เป็นช่วงที่หลาย ๆ คนจะต้องทำงาน และเจอกับผู้คนมากมาย รวมถึงยังมีโอกาสเจอคู่รักและคิดถึงเรื่องการวางแผนมีลูก ดังนั้นนอกจากจะควรตรวจสุขภาพแล้ว ยังควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และป้องกันไม่ให้มีเชื้อถ่ายทอดสู่คู่นอน หรือจากพ่อแม่สู่ลูกได้ ซึ่งในช่วงวัยนี้จะมีวัคซีนที่ควรฉีด ดังนี้
 

1. วัคซีนอีสุกอีใส

แม้ว่าประชากรส่วนใหญ่จะได้รับวัคซีนอีสุกอีใสอยู่แล้ว แต่ในกรณีที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอีสุกอีใสในช่วงวัยผู้ใหญ่ก็มีโอกาสเป็นโรคและสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งในกรณีที่เป็นอีสุกอีใสระหว่างตั้งครรภ์ก็มีโอกาสทำให้ทารกในครรภ์พิการได้อีกด้วย ดังนั้นสำหรับผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยรับวัคซีนอีสุกอีใส หรือไม่มีภูมิคุ้มกันควรฉีดไว้
 

2. วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ

วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ เป็นวัคซีนที่ควรฉีดในช่วงผู้ใหญ่ในกรณีที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน สำหรับผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันหรือไม่แน่ใจว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบเอ ควรตรวจและรับวัคซีนเพื่อลดโอกาสการแพร่กระจายของเชื้อ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปประเทศเสี่ยงโรคสูง และผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับการทำอาหาร เป็นต้น
 

3. วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

เนื่องจากในประเทศไทยกำหนดให้วัคซีนไวรัสตับอักเสบบีเป็นวัคซีนพื้นฐานที่ต้องฉีดให้กับเด็กทารกในปี พ.ศ.2535 จึงอาจทำให้ผู้ใหญ่ที่เกิดก่อนหน้านี้ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน และเสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้ จึงเป็นหนึ่งในวัคซีนที่ควรฉีดในช่วงผู้ใหญ่ โดยควรตรวจว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันและเคยติดเชื้อหรือไม่ ก่อนการฉีดวัคซีน
 

4. วัคซีน MMR (หัด หัดเยอรมัน คางทูม)

สำหรับผู้ที่ยังรับวัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูมไม่ครบ 2 เข็ม หรือยังไม่มีภูมิคุ้มกันจากโรคเหล่านี้ควรได้รับวัคซีนเพื่อไม่ให้ติดเชื้อรวมถึงแพร่เชื้อออกไป นอกจากนี้แล้วยังเป็นวัคซีนที่ควรฉีดสำหรับผู้ที่วางแผนจะมีลูก โดยในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าเคยได้รับวัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูมหรือไม่ ควรฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป
 

5. วัคซีน HPV (มะเร็งปากมดลูก)

สำหรับกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 27-50 ปีจะเป็นกลุ่มที่อาจจะไม่ได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกเท่ากับกลุ่มวัยรุ่น 15-26 ปี เพราะในบางคนอาจจะเคยรับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม วัคซีนมะเร็งปากมดลูกก็ยังถือว่าเป็นวัคซีนที่ควรฉีด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HPV ชนิดอื่น ๆ ที่ยังไม่เคยติดได้
 

วัคซีนที่ควรฉีดสำหรับผู้สูงอายุ (ตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป)

วัคซีนที่ควรฉีดผู้สูงอายุ

เมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ร่างกายจะอ่อนแอลง สามารถติดเชื้อและเจ็บป่วยได้ง่าย อีกทั้งผู้สูงอายุที่มีร่างกายไม่แข็งแรงยังมีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรงหรือมีอาการแทรกซ้อนได้มากกว่าคนทั่วไป ดังนั้นนอกจากการตรวจสุขภาพแล้ว การฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน โดยวัคซีนที่ควรฉีดในกลุ่มผู้สูงอายุ มีดังนี้
 

1. วัคซีนงูสวัด

โรคงูสวัด เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อชนิดเดียวกับโรคอีสุกอีใส ซึ่งสามารถหายเองได้ในกรณีที่ร่างกายมีเชื้อแฝงอยู่ในปมประสาทอยู่แล้ว เมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะค่อย ๆ ต่ำลง ทำให้มีโอกาสที่เชื้อจะเริ่มแสดงอาการออกมามากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไปก็จะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างเช่น อาการปวดปลายประสาท ที่พบได้มากถึง 20% 

ดังนั้น วัคซีนงูสวัดจึงเป็นวัคซีนที่ควรฉีดในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป และจะเหมาะมากสำหรับผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป นอกจากนี้แล้วสำหรับผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคงูสวัดมาก่อนก็สามารถฉีดวัคซีนได้ แต่ต้องเว้นระยะหลังจากป่วยอย่างน้อย 1 ปี
 

2. วัคซีนปอดอักเสบ ปอดบวม

โรคปอดอักเสบจะมีโอกาสเกิดขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้มีโรคประจำตัว และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และเมื่อเป็นโรค ก็จะมีโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงอย่างเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือดจนเป็นเหตุทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นวัคซีนปอดอักเสบและปอดบวมจึงเป็นวัคซีนที่ควรฉีดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
 

ฉีดวัคซีนที่ไหนดี

หากต้องการฉีดวัคซีนเพื่อสุขภาพที่ดี ป้องกันการแพร่เชื้อให้กับคนในครอบครัวและคนรอบข้าง สามารถใช้บริการสมิติเวช ไชน่าทาวน์ที่มีแพ็กเกจโปรโมชั่นวัคซีนที่ควรฉีดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่, วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ, วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี, วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ, วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก, และวัคซีนอื่น ๆ ด้วยราคาที่คุ้มค่า พร้อมบริการที่ดี อุ่นใจตลอดการเข้ารับบริการ
 

การเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีน

เพื่อให้ร่างกายสามารถรับวัคซีนที่ควรฉีดต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย จึงควรเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนรับวัคซีน ดังนี้

  1. งดออกกำลังกายหนัก งดยกของหนัก และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 วัน
  2. ในวันที่ฉีดวัคซีน งดดื่มชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ และควรดื่มน้ำอย่างน้อย 500-1000 มิลลิลิตร
  3. หลังฉีดวัคซีนให้เฝ้าดูอาการบริเวณที่ฉีด 30 นาที หากไม่มีความผิดปกติใด ๆ แพทย์ก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้
     

สรุปเรื่องวัคซีนที่ควรฉีด

ฉีดวัคซีนเพื่อสุขภาพ

วัคซีน เป็นสารที่ผลิตขึ้นมาจากเชื้อโรคที่ถูกทำให้อ่อนแอลง หรือเชื้อที่ตายแล้ว เพื่อนำมาฉีดเข้าไปในร่างกาย กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่าง ๆ ที่ได้รับเชื้อเข้าไป การฉีดวัคซีนจะช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ลดโอกาสการเกิดโรค และช่วยทำให้อาการของโรครุนแรงน้อยลงในกรณีที่รับเชื้อเข้าไป

เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน ในแต่ละช่วงวัยจึงมีวัคซีนที่ควรฉีดตามความเหมาะสมต่างกัน เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลอันตรายต่อชีวิตได้ สำหรับผู้ที่กำลังมองหาโปรแกรมฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพ สมิติเวช ไชน่าทาวน์ พร้อมให้บริการทั้งส่วนของวัคซีน และการตรวจสุขภาพของผู้เข้าใช้บริการ ให้บริการด้วยความใส่ใจ โดยสามารถติดต่อได้ตลอดทุกช่วงเวลา
 

ช่องทางติดต่อ

 


References 

Brunson, KE. (2023). Vaccine. britannica. https://www.britannica.com/biography/Edward-Jenner

Cervical cancer. (n.d.). World Health Organization. https://www.who.int/health-topics/cervical-cancer#tab=tab_1

บทความและสุขภาพอื่นที่น่าสนใจ