PRK (Photorefractive Keratectomy) คืออะไร นวัตกรรมผ่าตัดรักษาสายตา

ในปัจจุบันผู้คนมีค่าสายตากันมากขึ้น ทั้งสายตาสั้น และสายตาเอียง จากการใช้สายตามากเกินพอดี ใช้สายตาผิดวิธี หรือจากปัจจัยอื่นๆ จนทำให้เกิดการรักษาค่าสายตาขึ้น ซึ่ง PRK ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งเช่นกัน
PRK เป็นการรักษาค่าสายตาโดยการปรับกระจกตาด้วยเลเซอร์คล้ายกับการทำเลสิค แต่แล้ว PRK คืออะไร? PRK กับ Lasik ต่างกันอย่างไร? ผู้มีสายตาแบบใดจึงเหมาะกับการทำ PRK ? ในบทความนี้ทางสมิติเวช ไชน่าทาวน์ จะให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการทำ PRK
สารบัญบทความ
PRK (Photorefractive Keratectomy) คืออะไร

PRK (Photorefractive Keratectomy) หรือ PRK Lasik คือวิธีการรักษาค่าสายตาแบบหนึ่ง ที่จะปรับค่าสายตาด้วยการแก้ไขกระจกตาคล้ายกับการทำเลสิค โดยจะต่างกับเลสิคในเรื่องวิธีการผ่าตัด ในบางครั้งการทำ PRK จึงถูกนับเป็นการทำเลสิคอย่างหนึ่งเช่นกัน
PRK เป็นวิธีการรักษาค่าสายตาที่ทำกันมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 มีมาก่อนเลสิค และยังคงนิยมทำกันอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากให้ผลที่ถาวร ผลข้างเคียงน้อย ข้อจำกัดในการทำน้อยกว่าเลสิค
PRK ช่วยแก้ไขปัญหาสายตาแบบใด
การทำ PRK จะช่วยแก้ปัญหาสายตาสั้น และสายตาเอียง โดยสามารถแก้ไขสายตาสั้นไม่เกิน 500 (5.00 diopters) และเอียงไม่เกิน 200 (2.00 diopters)
นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดมาก เช่น กระจกตาบาง หรือตาแห้ง คนกลุ่มนี้จะไม่สามารถทำเลสิคได้ เนื่องจากเลสิคต้องตัดกระจกตาชั้นบนออกชั่วคราวเพื่อปรับความโค้งกระจกตา ด้านใน
ในกรณีที่ตาแห้งอยู่แล้ว การทำเลสิกจะทำให้ตาแห้งกว่าเดิม ผู้ที่มีข้อจำกับเหล่านี้จึงควรแก้ปัญหาสายตาด้วยการทำ PRK มากกว่า
PRK กับ LASIK ต่างกันอย่างไร
PRK กับ Lasik ต่างกันที่วิธีการผ่าตัด และส่วนของกระจกตาที่เลเซอร์จะเข้าไปแก้ไขค่าสายตา
การทำ PRK (Photorefractive Keratectomy)
เป็นการแก้ไขที่กระจกตาชั้นบน โดยแพทย์จะใช้สารละลาย ละลายเยื่อหุ้มที่กระจกตาด้านบนออก แล้วใช้เลเซอร์ปรับพื้นผิวกระจกตา ในส่วนบนของกระจกตาให้เข้ากับค่าสายตาที่คำนวนไว้ จากนั้นให้ใส่คอนแทคเลนส์ไว้ประมาณ 5 - 7 วัน เพื่อรอให้ร่ายกายสร้างเยื่อหุ้มครอบกระจกตาไว้เหมือนเดิม
เมื่อเทียบกับการทำเลสิคแล้ว การทำ PRK มีข้อดีดังนี้
- ในระยะยาว หากเกิดอุบัติเหตุที่จะกระทบกับดวงตาอย่างรุนแรง จะไม่มีความเสี่ยงจากการที่ผู้ป่วยทำ PRK มา แต่ถ้าทำเลสิคมา ดวงตามีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายเพิ่มขึ้น
- ไม่มีรอยกรีดรอบดวงตาจากการทำเลสิค ส่วนเยื่อหุ้มกระจกตาที่ถูกละลายออกไป สามารถฟื้นฟูตัวเองได้
- มีข้อจำกัดในการทำน้อยกว่าเลสิค
- ราคาถูกกว่า
- เกิดผลข้างเคียงน้อยกว่า
การทำ LASIK
ส่วนการทำเลสิค เป็นการแก้ไขกระจกตาชั้นกลาง
เลสิคบางรูปแบบเช่น Microkeratome LASIK และ FemtoLASIK จะกรีดผิวกระจกตาชั้นบนออกเป็นฝา เรียกว่าแฟลบ (Flap) แล้วจึงใช้เลเซอร์ปรับกระจกตาชั้นกลางที่อยู่ด้านในให้เข้ากับค่าสายตาที่คำนวนไว้ แล้วจึงปิดแฟลบกลับเข้าไปเหมือนเดิม
ส่วนเลสิคแบบ ReLEx จะไม่ต้องผ่าเปิดแฟลบออกมา แต่ใช้เลเซอร์แก้ไขกระจกตาชั้นกลางที่อยู่ด้านในโดยตรง แล้วเจาะแผลเล็กๆ เพื่อนำชิ้นส่วนกระจกตาที่เหลือจากการปรับแต่งออกมา
เมื่อเทียบกับ PRK เลสิคมีข้อดี คือ
- ไม่ต้องลอกเยื่อหุ้มกระจกตาออกเหมือนกับ PRK ทำให้แผลจากการทำเลสิคสามารถหายได้เร็วกว่า
- สามารถแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ที่สายตาสั้น ยาว หรือเอียงมากๆได้
- ดวงตาสามารถปรับตัวได้เร็วกว่า ทำให้เห็นภาพชัดหลังผ่าตัดได้เร็วกว่าการทำ PRK
- มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อน้อยกว่าการทำ PRK เล็กน้อย
- หลังทำ ผู้ป่วยที่ทำเลสิคส่วนใหญ่บอกว่าแผลระบมไม่มาก ในขณะที่ผู้ป่วยที่ทำ PRK มักบอกว่าแผลจะเจ็บระบมมากเมื่อยาชาหมดฤทธิ์
ข้อดีของการทำ PRK
- ให้ผลลัพธ์ที่ถาวร
- ผลข้างเคียงน้อยกว่าการทำเลสิค
- ก่อนการรักษาไม่ต้องฉีดยาชา แค่หยอดยาชาก็เพียงพอ ระหว่างทำไม่เจ็บ ไม่ต้องเย็บแผล
- กลับบ้านได้ทันทีหลังผ่า ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
- ข้อจำกัดน้อยกว่าเลสิค ผู้ที่มีกระจกตาบาง ตาแห้ง ตาเล็ก เบ้าตาลึก หรือเป็นโรคที่ทำเลสิคไม่ได้เช่นต้อหิน สามารถทำ PRK ได้ (แต่ผู้ป่วยที่เป็นต้อหินต้องได้รับการวินิจฉัยจากจักษุแพทย์ก่อนเท่านั้น)
- กระจกตาไม่มีความเสี่ยงกระจกตาเปิดจากการผ่าแฟลบเหมือนการทำเลสิค
- หลังผ่าตัดเกิดผลข้างเคียงได้น้อย โดยเฉพาะอาการตาแห้งที่พบมากหลังทำเลสิค จะพบได้น้อยมากหลังทำ PRK
- มีโอกาสในการทำงานมากขึ้น ผู้ที่ประกอบอาชีพนักบิน ทหาร ตำรวจ สามารถทำได้
- ใช้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ต้องใส่แว่นเหมือนเดิม
ข้อจำกัดการทำ PRK
PRK มีข้อเสีย และข้อจำกัดต่างๆ ดังนี้
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่เจ็บระบมค่อนข้างมากหลังยาชาหมดฤทธิ์ เจ็บ แสบ ระคายเคือง ลืมตาไม่ขึ้น สู้แสงไม่ได้ ภาพไม่ชัดในช่วงแรกค่อนข้างนาน อาจใช้เวลาประมาณ 7 วัน
- แผลหายช้า ต้องใส่คอนแทคไว้ 5 - 7 วัน เพื่อให้เยื่อหุ้มกระจกตาสร้างขึ้นมาอีกครั้ง
- หลังทำเลสิค หรือ PRK ต้องหยอดยาสเตียรอยด์ ซึ่งหลังจากทำ PRK จะต้องใช้ยาสเตียรอยด์นี้เป็นเวลานานกว่าการทำเลสิค
- ติดเชื้อได้ง่ายกว่าการทำเลสิคเล็กน้อย เพราะแผลมีขนาดใหญ่กว่า
- แพทย์จะติดตามผลบ่อยมากในช่วงสัปดาห์แรก ผู้ที่ต้องการทำ PRK ต้องจัดสรรเวลาให้ดี
ผู้ที่เหมาะกับการทำ PRK

- ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป
- ค่าสายตาต้องคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 1 ปี
- ไม่ได้มีโรคที่กระจกตา มีประวัติกระจกตาถลอก หรือกระจกตาเคยหลุดลอกมาก่อน
- ไม่มีโรคอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการผ่าตัดดวงตา เช่น โรคเบาหวาน
- สายตาสั้น หรือเอียงไม่มากเกินกว่าจะรักษาได้
- เหมาะกับผู้ที่กระจกตาบางกว่าปกติ ตาแห้งแบบรักษายาก กระจกตาโค้งผิดรูป
- ผู้ที่เป็นต้อหินสามารถทำได้ในบางกรณี ผู้ที่สนใจจะต้องปรึกษากับแพทย์ก่อน
- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้น และต้องการประกอบอาชีพนักบิน ตำรวจ หรือทหาร
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการทำ PRK
การเตรียมตัวก่อนการตรวจสายตา และทำ PRK
- งดการใส่คอนแทคเลนส์ หากเป็นแบบ Soft Lens งดใส่ก่อนวันตรวจสายตาและทำ PRK อย่างน้อย 3 วัน ส่วนแบบ Hard Lens งดใส่ก่อนวันตรวจสายตาและทำ PRK อย่างน้อย 7 วัน ส่วนแว่นสายตาสามารถใส่ได้ตามปกติ เพื่อให้คอนแทคเลนส์ไม่กดทับกระจกตา และให้กระจกตาคืนรูปร่างตามปกติ
- เตรียมลางาน 5 - 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ทำ PRK
การเตรียมตัวในวันที่ตรวจสายตา
- ไม่ควรขับรถมาเองคนเดียว ควรมีผู้ดูแลมาด้วยในวันตรวจสายตา เนื่องจากหลังตรวจตาจะมองเห็นไม่ชัดเป็นเวลาประมาณ 4 - 6 ชั่วโมง ทำให้ไม่สามารถใช้สายตาได้ตามปกติ
- ถ้าเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาก่อนหรือในวันตรวจสายตา ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนการตรวจ
การเตรียมตัวในวันที่ทำ PRK
- ควรมีผู้ดูแลมาด้วยในวันผ่าตัด เนื่องจากวันที่ผ่าตัดคนไข้กจะไม่สามารถใช้สายตาได้ ทำให้ไม่สามารถขับรถ หรือมองเห็นได้อย่างปกติ
- งดใส่น้ำหอม น้ำมัน เจลแต่งทรงผม โรลออน หรือสเปรย์ใดๆก็ตามที่มีกลิ่น ทั้งที่ร่างกายและเสื้อผ้า เนื่องจากจะมีผลกับเลเซอร์ที่ใช้ทำ PRK
- งดแต่งหน้า และทาครีมต่างๆที่ใบหน้า
- เพื่อสะดวกในการใส่และถอดเสื้อ ผู้เข้ารับการรักษาต้องใส่เสื้อมีกระดุมผ่าหน้าเท่านั้น
- ให้เตรียมแว่นกันแดดมาด้วย
- ทานอาหารได้ตามปกติ แต่ให้งดชา กาแฟ
- ถ้ามีอาการผิดปกติที่ดวงตา หรือมีความผิดปกติอื่นๆในร่างกาย ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนวันที่ทำ PRK
การตรวจสภาพสายตาก่อนเข้ารับการผ่าตัด

การตรวจสภาพสายตาก่อนเข้ารับการผ่าตัด แพทย์จะตรวจองค์ประกอบต่างๆเกี่ยวกับสายตา ดังนี้
- วัดสายตา
- วัดการมองเห็น
- วัดความดันลูกตา
- ตรวจค่าความโค้ง และความหนาของกระจกตา
- ตรวจค่าความคลาดเคลื่อนของการรวมแสง
- วัดค่าสายตาก่อนและหลังขยายม่านตา
- ตรวจประเมินสภาพสายตาโดยรวมโดยจักษุแพทย์
การตรวจสภาพสายตานั้น เป็นไปเพื่อให้จักษุแพทย์พิจารณาว่าผู้เข้ารับการรักษาสามารถทำ PRK ได้จริงไหม จะมีผลกระทบหลังทำหรือไม่ เหมาะกับการทำเลสิคแบบอื่นมากกว่าหรือเปล่า
และเพื่อวัดว่าต้องปรับกระจกตาให้เป็นทรงไหน ค่าความโค้งเท่าไหร่ เพื่อปรับกระจกตาให้พอดีกับค่าสายตาเดิม ป้องกันสายตาขาดหรือเกินหลังทำ
ขั้นตอนการทำ PRK
- หยดแอลกอฮอล์ลงบนผิวตาด้านบนกระจกตา เพื่อละลายเอาเยื่อหุ้มกระจกตาออกไป
- ใช้เครื่องมือผ่าตัดปรับผิวกระจกตาให้เรียบ
- ใช้ Excimer Laser ปรับกระจกตาใหม่ ให้มีรูปทรงที่พอดีกับค่าสายตาตามที่คำนวณไว้
- ปิดแผลด้วยคอนแทคเลนส์พิเศษปิดผิวกระจกตาด้านบนไว้ ควรใส่ไว้ประมาณ 5 - 7 วัน เพื่อรอเวลาให้เยื่อหุ้มกระจกตาสร้างใหม่ หลังจากนั้นจึงนำคอนแทคเลนส์ออกได้ โดยที่ไม่ต้องเย็บแผลผ่าตัดแต่อย่างใด
ข้อปฏิบัติหลังการทำ PRK
การดูแลตนเองในช่วง 1 - 7 วันแรกหลังการผ่าตัด
- หลังการทำ PRK แพทย์จะใส่ที่ครอบตามาให้ ในวันที่รักษาห้ามคนไข้ถอดออกโดยเด็ดขาด แม้จะคันหรือน้ำตาไหลมากก็ห้ามถอด ครอบตานี้จะถอดได้ในวันถัดมา หลังพ้นวันแรกไป ตอนกลางวันสามารถใส่แว่นกันแดดแทนได้ แต่ต้องใส่ที่ครอบตากลับเข้าไปในตอนกลางคืน
- ระวังอย่าให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา และห้ามขยี้ตาโดยเด็ดขาด ควรสัมผัสดวงตาให้น้อยที่สุด หากคันมากจริงๆ ทำได้เพียงใช้นิ้วแตะที่หัวตาหรือหางตาเท่านั้น และจะต้องล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสกับดวงตาด้วย
- ห้ามล้างหน้า สระผม หรือให้น้ำเข้าตาโดยเด็ดขาด
- ทำความสะอาดตาทุกเช้า โดยให้หยดน้ำเกลือลงบนสำลีปลอดเชื้อ แล้วใช้สำลีนั้นเช็ดจากหัวตาไปหางตา
- ควรพักผ่อนให้มากที่สุดอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อลดการระคายเคือง
- ไม่ควรใช้สายตาเพื่อดูโทรทัศน์ เล่นโทรศัพท์ หรืออ่านหนังสือ ใน 24 ชั่วโมงแรก
- ใช้ยาหยอดตาที่แพทย์ให้ตามคำแนะนำของแพทย์
- หยดน้ำตาเทียมได้บ่อยเท่าที่ต้องการ ขั้นต่ำคือครั้งละ 1 หยด เป็นเวลา 4 ครั้งต่อวัน หากต้องการหยดหลังจากใช้ยาหยอดตา ควรรอประมาณ 5 นาทีให้ตัวยาซึมเข้าไปในดวงตาก่อน จึงจะหยดน้ำตาเทียมได้
- หากอาการดีขึ้นแล้ว แพทย์จะบอกให้ถอดคอนแทคเลนส์ออกได้
การดูแลตนเองหลังจากถอดคอนแทคเลนส์
- แพทย์จะเปลี่ยนยาบางตัวออก ให้ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- กลับมาล้างหน้า หรือให้น้ำถูกตาได้บ้างตามปกติ
- หยดน้ำตาเทียมได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
- สามารถว่ายน้ำ หรือใช้เครื่องสำอางบริเวณดวงตาได้ เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน
- แพทย์จะนัดพบเป็นระยะ เพื่อติดตามผล สังเกตผลข้างเคียง และรักษาผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นในกรณีที่มีความผิดปกติหลังผ่าตัด
อาการที่อาจเกิดขึ้นได้หลังผ่าตัด
PRK มีผลข้างเคียง ทำให้อาจเกิดอาการต่อไปนี้
- อาการระคายเคืองต่างๆ เช่น แสบตา ปวดตา คัน ลืมตาไม่ขึ้น สู้แสงไม่ได้ เปลือกตาบวม มักมีอาการนี้ในช่วง 1 - 5 วันแรกหลังการผ่าตัด สามารถแก้ได้ด้วยการใช้สายตาให้น้อยที่สุด นอนวันละอย่างน้อย 6 ชั่วโมง หากปวดมากสามารถทานยาแก้ปวดที่แพทย์จ่ายให้เพื่อบรรเทาอาการได้
- น้ำตาไหล มีขี้ตามาก สามารถใช้สำลีปลอดเชื้อเช็ดบริเวณหัวตาและหางตาได้
- ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเครียด นอนไม่หลับ แพทย์จะจ่ายยานอนหลับและยาคลายเครียดเผื่อมาให้ด้วย
- มองภาพไม่ชัด สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์แรก เมื่อดวงตาปรับตัวกับกระจกตาได้จะกลับมามองเห็นชัดอีกครั้ง
- การปรับแสงจะไม่ดีในช่วงแรก เมื่ออยู่ในที่แสงน้อยจะเห็นภาพไม่ชัด แต่อาการนี้จะหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไป
- ภาวะแสงกระจายรอบแสงไฟ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัดเช่นกัน เมื่อดวงตาปรับตัวได้อาการนี้จะหายไป
- ตาแห้งเนื่องจากเส้นประสาทกระจกตาถูกกระทบกระเทือนจากการผ่าตัด เป็นอาการตาแห้งที่จะเกิดขึ้นแค่ชั่วคราว หลังจากนี้ดวงตาสามารถฟื้นฟูตนเองได้ ถ้าหากรู้สึกแสบตามาก สามารถหยดน้ำตาเทียมเพื่อช่วยบรรเทาอาการตาแห้งชั่วคราวได้
- ค่าสายตาขาดหรือเกิน จะทราบว่าเกิดภาวะนี้ขึ้นหลังจากทำ PRK ไปแล้วประมาณ 2 - 3 เดือน หากต้องรักษาแพทย์จะพิจารณาให้รักษาเพิ่มเติมโดยการเติมเลเซอร์
ค่าใช้จ่ายในการทำ PRK ราคาเท่าไหร่
ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ การรักษาค่าสายตาด้วยการทำ PRK ราคาจะอยู่ที่ 35,000 บาท สามารถผ่อน 0% กับบัตรเครดิตได้
- บัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย ผ่อน 0% นาน 4 เดือน
- บัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ ผ่อน 0% นาน 4 เดือน หรือ 6 เดือน
- บัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยา ผ่อน 0% นาน 10 เดือน
โปรโมชั่นอื่นนอกเหนือจากนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ สามารถติดตามโปรโมชั่น และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line@samitivejchinatown
หมายเหตุ : ราคาดังกล่าวเป็นราคาเฉพาะสำหรับคนไทยเท่านั้น
ทำ PRK ที่ไหนดี

การทำ PRK เป็นการแก้ไขค่าสายตาโดยการปรับกระจกตา กระจกตาของเรานั้นไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ดังนั้นเมื่อปรับกระจกตาด้วยเลเซอร์ไปแล้ว กระจกตาของเราก็จะอยู่แบบนั้นอย่างถาวร
ในขณะเดียวกัน หากการรักษาผิดพลาดเกิดจากเครื่องมือไม่ได้มาตรฐานหรือแพทย์ไม่ชำนาญก็จะสามารถแก้ไขได้ยาก หรือในบางกรณี อาจจะแก้ไขไม่ได้เลย
ดังนั้น การเลือกว่าจะทำ PRK ที่ไหนดี ข้อสำคัญคือควรเลือกโรงพยาบาลที่ทำ PRK โดยจักษุแพทย์เฉพาะทาง มีความชำนาญและประสบการณ์สูง รวมถึงต้องมีอุปกรณ์ที่ทันสมัย ผ่านมาตรฐานรับรองความปลอดภัย
ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ เราดำเนินการรักษาคนไข้ทุกคนโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ประสบการณ์สูงกว่า 4 ท่าน พร้อมด้วยเครื่องมือผ่าตัดที่ทันสมัย และผ่านการรับรองความปลอดภัยแล้ว
นอกจาก PRK แล้วทางโรงพยาบาลยังรักษาค่าสายตาด้วยวิธีอื่นๆด้วย อย่าง ReLEx SMILE, Bladeless FemtoLASIK, LASIK, และ Implantable Collamer Lens สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาค่าสายตาด้วยวิธีการอื่นๆ ได้ที่บทความเรื่องการรักษาสายตาสั้น
FAQ การทำ PRK (Photorefractive Keratectomy)
หลังทำ PRK ต้องพักฟื้นกี่วัน
ทำ PRK พักฟื้นกี่วัน? หลังทำ PRK ต้องพักฟื้นประมาณ 5 - 7 วัน เนื่องจากแผลผ่าตัดค่อนข้างใหญ่ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และจะระคายเคืองตามากหลังทำ จนไม่สามารถใช้สายตาได้มากนักในช่วงสัปดาห์แรก ผู้ที่จะทำ PRK จึงควรลางานเพื่อเข้ารับการผ่าตัด ประมาณ 5 - 7 วัน
ทำ PRK ใช้เวลานานไหม
ขั้นตอนการทำ PRK ใช้เวลาไม่นาน เพียง 30 นาทีก็เสร็จสิ้นการผ่าตัด ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล แต่หากต้องการนอนโรงพยาบาลเพื่อรอการตรวจในวันรุ่งขึ้น ก็สามารถทำได้เช่นกัน
หลังทำ PRK กี่วันถึงจะมองเห็นได้ชัดเจน
ทำ PRK กี่วันชัด? หลังทำ PRK สายตาของเราจะใช้เวลาปรับตัวกับกระจกตาใหม่ประมาณ 7 วัน หลังจากนั้นจึงจะเห็นชัด หากหลัง 7 วันไปแล้วยังมีภาพซ้อนหรือภาพมัวอยู่ไม่ต้องตกใจ เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ หลังจากนั้นสายตาจะชัดขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป
ทำ PRK แล้วมองไม่ชัด เกิดจากอะไร
ทำ PRK แล้วมองไม่ชัด เป็นเรื่องปกติ หลังทำ PRK การมองเห็นจะยังไม่ชัดทันที ดวงตาของผู้เข้ารับการรักษายังต้องปรับตัวกับกระจกตาที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะใช้เวลาค่อนข้างนาน ในคนไข้แต่ละคนระยะเวลาการปรับสายตาก็จะแตกต่างกันไป หากใครยังมองไม่ชัด ไม่ต้องกังวล เนื่องจากแพทย์จะนัดติดตามผลเป็นระยะอยู่แล้ว
เมื่อพบแพทย์ ให้แจ้งอาการกับแพทย์ แพทย์ผู้รักษาจะประเมินว่าการมองไม่ชัดที่เป็นอยู่เป็นระยะการปรับตัวปกติ หรือเกิดจากแก้ไขค่าสายตาขาดหรือเกิน ซึ่งอาการนี้ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการเติมเลเซอร์ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร
ทำไมอาชีพนักบิน ทหาร ตำรวจ ต้องทำ PRK เท่านั้น ทำเลสิคไม่ได้
เนื่องจากหลังการทำเลสิก จะเกิดแผลรอบกระจกตาจากการเปิดแฟลบ ซึ่งแฟลบนี้จะไม่ได้เชื่อมติดกับกระจกตา แต่จะยึดอยู่ติดกันด้วยเทคนิคที่ทำขึ้นจากเลเซอร์ ทำให้กระจกตาอาจจะได้รับอันตรายหากประสบอุบัติเหตุที่ดวงตาอย่างรุนแรง อาชีพนักบิน ทหาร ตำรวจ เป็นอาชีพที่เสี่ยงเกิดการกระทบการเทือนรุนแรงที่ดวงตาได้มาก ทำให้มีกฎว่าผู้ที่ประกอบอาชีพเหล่านี้ ไม่สามารถทำเลสิคได้นั่นเอง
ข้อสรุป
การทำ PRK เป็นการแก้ไขค่าสายตาด้วยการแก้ไขพื้นผิวกระจกตาด้านบนให้เข้ากับค่าสายตา ทำให้กลับมามองเห็นได้อย่างปกติ การทำ PRK มีข้อดีคือ ข้อจำกัดน้อยกว่าการทำเลสิค ผู้ที่มีกระจกตาบาง ตาแห้ง สามารถทำได้ แต่ก็มีข้อเสียคือแก้ไขค่าสายตาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากสนใจทำ PRK หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ PRK รวมถึงเลสิคชนิดต่างๆ สามารถติดต่อสอบถาม หรือนัดเวลากับจักษุแพทย์ของโรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ ได้ที่ Line@samitivejchinatown
สนใจปรึกษาทีมแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตา และการผ่าตัดแก้ไขสายตา ด้วยประสบการณ์ทำเลสิคกว่า 10,000 เคส
มั่นใจด้วย 2 เทคโนโลยีนำเข้าจากเยอรมันล่าสุด (German Medical Technology 2021)