วิธีคํานวณค่า BMI สูตรคำนวณดัชนีมวลกาย บอกอะไรได้บ้าง
“การคำนวณค่า BMI” เป็นวิธีการประเมินลักษณะร่างกายของมนุษย์ในยุคปัจจุบันที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยทุกสถาบันการรักษา ความงาม หรือฟิตเนส และสถาบันอื่น ๆ ต่างใช้สูตรคำนวณ BMI เพื่อหาค่าดัชนีมวลกายของผู้ใช้บริการ มาเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินธุรกิจต่อไป
ดังนั้น ทางโรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ จะพาผู้อ่านทำความเข้าใจเรื่องการคำนวณค่า BMI ที่ดูเป็นการคาดคะเนผลลัพธ์ BMI ที่ดูซับซ้อน ให้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย และคุณสามารถนำตัวคำนวณ BMI สูตรนี้ ไปใช้งานได้จริง ซึ่งเนื้อหาโดยรวมเป็นอย่างไรบ้าง ไปเรียนรู้พร้อมกันได้ในบทความนี้
สารบัญบทความ
ค่าดัชนีมวลกาย (BMI : Body Mass Index) เป็นข้อมูลดัชนีทางคณิตศาตร์ ที่ใช้การวัดจากน้ำหนัก (Weight) และส่วนสูง (Height) มาคำนวณค่า BMIเพื่อหาค่าผลลัพธ์ของปริมาณไขมันทั้งหมด เมื่อหาคำนวณมวลร่างกายเรียบร้อย ทางแพทย์จะนำคำตอบนี้ในการประเมินสภาวะลักษณะร่างกายของผู้ใช้บริการในปัจจุบัน ว่าเกณฑ์น้ำหนักของคุณถูกประเมินอยู่ในระยะร่างกายรูปแบบไหน
วิธีคำนวณ BMI ในการหาค่าดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว [กิโลกรัม] ÷ ส่วนสูง [เมตร] ยกกำลังสอง
ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิง น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 160 เซนติเมตร
ดัชนีมวลกาย (BMI) = 50 ÷ (1.60 * 1.60)
ดัชนีมวลกาย (BMI) = 50 ÷ 2.56
ดัชนีมวลกาย (BMI) = 19.5
เมื่อได้คำตอบค่าคำนวณดัชนีมวลกายแล้ว ให้นำตัวเลขนี้ไปเปรียบเทียบตารางเกณฑ์ BMI ตามเพศสภาพของตัวเอง
การแปรผล
|
ผลคำนวณดัชนีมวลกาย (BMI) |
ภาวะโรคแทรกซ้อน |
น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ |
น้อยกว่า 18.5 ลงไป |
มีความเสี่ยงเกิดโรคขาดสารอาหาร |
น้ำหนักสมส่วน |
18.5 - 22.9 |
โอกาสการเกิดโรคแทรกซ้อน น้อยที่สุด |
น้ำหนักเกินมาตรฐาน |
23.0 - 24.9 |
ภาวะน้ำหนักเกินระยะเริ่มต้น เริ่มมีโรคแทรกซ้อนเล็กน้อย |
อ้วน |
25.0 - 29.9 |
ภาวะน้ำหนักเกินมาก มีโรคแทรกซ้อนในระยะอ้วนเริ่มต้น |
อ้วนมาก |
มากกว่า 30.0 ขึ้นไป |
ภาวะน้ำหนักเกินมากที่สุดโอกาสการเกิดโรคแทรกซ้อนอย่าง โรคอ้วน |
ระดับ < 18.5 สภาวะ “น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์”
บุคคลที่มีค่า BMI ในเกณฑ์ระดับน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน มีภาวะความเสี่ยงสูงที่ร่างกายขาดสารอาหารในการหล่อเลี้ยงภายในร่างกายได้ไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบให้ร่างกายอ่อนเพลียง่าย ภูมิคุ้มกันพกบร่อง การออกกำลังกายควบคู่กับการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบโปรตีนสูง จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและมีสารอาหารมากพอไปซ่อมแซมการทำงานของอวัยวะภายในได้อย่างเพียงพอ
ระดับ 18.5 - 22.9 สภาวะ “น้ำหนักสมส่วน”
บุคคลที่ค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ระดับน้ำหนักตามมาตรฐาน เป็นกลุ่มบุคคลที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วนได้น้อยที่สุด ควรรักษาความสุมดลของค่า BMI ระดับนี้ไว้อย่างสม่ำเสมอ และหมั่นตรวจเช็คการคำนวณค่า BMI จากการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อเป็นผลชี้วัดในการตรวจเช็คมวลร่างกายอยู่เสมอ
ระดับ 23.0 - 24.9 สภาวะ “น้ำหนักเกินมาตรฐาน”
บุคคลที่มีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ระดับเกินตามมาตรฐาน มีภาวะความเสี่ยงที่เกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคอ้วนได้ ควรควบคุมปริมาณไขมันในร่างกายตัวเอง ด้วยการเลือกทานอาหารที่มีโปรตีนสูง หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอตลอดกิจวัตรประจำวัน เพื่อลดระดับไขมันให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
ระดับ 25.0 - 29.9 สภาวะ “อ้วน”
บุคคลที่คํานวณค่า BMI แล้วอยู่ในเกณฑ์ระดับเกินตามมาตรฐานมาก มีภาวะความเสี่ยงที่เกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคอ้วนได้สูง ควรควบคุมปริมาณไขมันในร่างกายตัวเองแบบเร่งด่วน ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีการกินที่เน้นสุขภาพให้มากขึ้น พร้อมออกกำลังกาย และงดทานของจุบจิบในยามท้องว่าง แล้วดื่มน้ำอย่างต่ำ 8 แก้วต่อวัน พร้อมกับพักผ่อนให้เพียงพอ และติดตามผล BMI ตลอดในช่วงควบคุมน้ำหนัก
ระดับ 30.0 > สภาวะ “อ้วนมาก”
บุคคลที่มีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ระดับสูงเกินตามมาตรฐานมาก มีภาวะความเสี่ยงที่เกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคอ้วนได้สูงที่สุด ควรทำการนัดพบแพทย์เพื่อรับยาในการควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด พร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานให้เป็นอาหารสุขภาพ งดทานอาหารที่เพิ่มมวลไขมันแก่ร่างกาย และหมั่นออกกำลังกายเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ แล้วดื่มน้ำอย่างต่ำ 10-12 แก้วต่อวัน และติดตามผล BMI ตลอดในช่วงควบคุมน้ำหนัก
เนื่องจากการคำนวณดัชนีมวลกายเพื่อหาความสัมพันธ์เกี่ยวกับปริมาณไขมันในมวลร่างกายของผู้ใช้บริการนั้นมีข้อจำกัดทางด้านเพศ อายุ รวมถึงปริมาณกล้ามเนื้อของบุคคลบางกลุ่ม ที่ทำให้ผลการคำนวณค่า BMI มีผลที่แตกต่างออกไป ดังต่อไปนี้
- การคำนวณ BMI ผู้หญิง มีแนวโน้มที่ปริมาณไขมันในร่างกายสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงช่วยเร่งสารอาหารให้เป็นไขมันได้ง่ายกว่าผู้ชาย ซึ่งทำให้การคำนวณดัชนีมวลกายผู้ชายในการตรวจดูไขมัน พบแค่ 15% ในขณะผู้หญิงพบถึง 25% ของมวลไขมันทั้งหมด
- ผู้ที่อายุมากกว่า มีโอกาสสูงที่ปริมาณไขมันสะสมมากกว่าผู้ที่อายุน้อยกว่า
- นักกีฬาที่ได้รับการฝึกฝนร่างกายทางกายภาพสูง จะมีผลการคำนวณค่า BMI ที่มีมวลกล้ามเนื้อสูงกว่าปริมาณไขมันในองค์ประกอบร่างกายมากกว่าคนทั่วไป
โดยทั่วไป ความเสี่ยงของค่าเฉลี่ยจากการคำนวณค่า BMI ที่สูงเกินไป มีปัจจัยการเกิดปัญหาโรคอ้วนต่างๆ ดังต่อไปนี้
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคไขมันในเลือดสูง
- โรคตับ นิ่วในถุงน้ำดี
- โรคเบาหวาน
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ
1. การออกกำลังกาย
การออกกำลังกาย ช่วยพัฒนาศักยภาพทางด้านกายภาพของผู้ป่วยให้มีความแข็งแรงมากขึ้น เพิ่มภูมิต้านทาน ช่วยทำให้สภาพจิตใจเบิกบานแจ่มใส ลดความเครียด อีกทั้งระบบภายในร่างกายสามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยชะลออายุอวัยวะภายในให้มีการใช้งานที่ยืนยาว และสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายป้องกันจากโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วนอีกด้วย
เมื่อผู้ป่วยออกกำลังกายเป็นกิจวัตรประจำวัน จะช่วยทำให้สรีระร่างกายที่เคยอ้วนท้วม กลับมามีรูปร่างที่สมส่วน กระชับ และเปลี่ยนปริมาณไขมันบางส่วนให้เป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรง การคำนวณค่า BMI ที่มีค่าเฉลี่ยตัวเลขสูงก็จะลดลงตามความถี่ของผู้ป่วย มีวินัยในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2. การเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีเกณฑ์การคำนวณค่า BMI ที่อยู่สูงกว่าระดับมาตรฐาน การเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำแต่ให้พลังงานสูง จะช่วยทำให้อิ่มท้อง และได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ในการหล่อเลี้ยงไปตามส่วนต่าง ๆ ของอวัยวะภายในของร่างกาย และลดความเสี่ยงการเกิดโรคอ้วนอีกเช่นกัน
ยกตัวอย่างสารอาหารที่เป็นโปรตีนอย่าง เนื้อปลา อกไก่ และถั่วตระกูลอัลมอนต์ ที่ให้คุณค่าทางสารอาหารแก่ร่างกาย และควรหลีกเลี่ยงวัตถุดิบอย่าง น้ำมัน แป้ง ในการมาเป็นส่วนประกอบอาหารที่เพิ่มปริมาณไขมันในร่างกาย
3. พักผ่อนให้เพียงพอ
การพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคอ้วนและโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้อย่างดี เนื่องจากช่วงเวลาพักผ่อน อวัยวะภายในจะทำการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ที่ได้รับภาระการทำกิจกรรมหนัก ๆ มาทั้งวัน ทำให้เป็นวิธีฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาแข็งแรง และฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้ป่วยให้มีสุขภาพจิตที่แจ่มใส พร้อมใช้ชีวิตวันรุ่งขึ้นได้ต่อไป
4. ปากกาลดน้ำหนัก
ปากกาลดน้ำหนัก เป็นอีกตัวเลือกสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะการคำนวณค่า BMI ที่สูงกว่าน้ำหนักมาตรฐาน เนื่องจากปากกาลดน้ำหนักนี้ มีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงจากฮอร์โมนกลูคากอน (Glucagon) ในร่างกาย ที่ยับยั้งความอยากอาหารที่ส่งไปทางสมอง มีความหิวที่น้อยลง พร้อมลดการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้ปริมาณอาหารในกระเพาะอยู่นานมากขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกอิ่มท้องและทานอาหารได้น้อยลง อีกทั้งตัวฤทธิ์ของยาช่วยกระตุ้นฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ในการปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดเพื่อลดความดันโลหิตในการสร้างผลกระทบอวัยวะส่วนอื่น ๆ อีกด้วย
ปากกาลดน้ำหนัก คืออะไร
ปากกาลดน้ำหนัก คือ แท่งปากกาที่ภายในบรรจุยาสำหรับฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง (สามารถฉีดยาเองที่บ้านได้) ซึ่งเป็นตัวยา Liraglutide (ลิรากลูไทด์) โดยสารชนิดนี้เป็นเปปไทด์โปรตีนที่ออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งมีอยู่แล้วในร่างกายที่จะหลั่งออกมาจากลำไส้หลังรับประทานอาหารเสร็จ ส่งผลให้รู้สึกอิ่มนาน หิวน้อยลง กินน้อยลง ลดการกินจุกจิกระหว่างวัน ลดการผลิตน้ำตาลที่ตับ ช่วยเพิ่มความไวของอินซูลินบริเวณตับอ่อนและกล้ามเนื้อ
โดยปากกาลดน้ำหนักได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วว่ามีความปลอดภัย และช่วยในการควบคุมน้ำหนักอย่างปลอดภัยและได้ผลเมื่ออยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ปากกาลดน้ำหนักจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการควบคุมน้ำหนัก ปรับพฤติกรรมในการรับประทานอาหารแบบยั่งยืนอย่างปลอดภัย รวมไปถึงระดับไขมันทั่วร่างกายยังลดลงอีกด้วย ทั้งนี้การรักษาด้วยปากกาลดน้ำหนักจำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงจะช่วยให้ประสิทธิภาพของการรักษาดียิ่งขึ้น
ปากกาลดน้ำหนัก เหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือภาวะโรคอ้วน
- ผู้มีปัญหาสุขภาพที่เกิดจากน้ำหนักเกินมาตรฐาน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจขณะนอนหลับ เป็นต้น
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแต่ไม่อยากผ่าตัด
- ผู้ที่ต้องการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
ผลลัพธ์หลังการใช้ปากกาลดน้ำหนัก
หลังการใช้ยาในช่วงวันแรก ๆ คุณจะเริ่มรู้สึกอยากอาหารน้อยลง อิ่มไวและอิ่มนานขึ้น เมื่อคุมหิวได้นานขึ้นก็จะส่งผลให้ทานอาหารได้น้อยลงอย่างต่อเนื่อง และมีผลให้น้ำหนักลดลงตามด้วย
โปรแกรม
|
ราคา (บาท) |
ดูแลโดยแพทย์เฉพาะทาง |
1. ปากกาลดน้ำหนัก 3 ด้าม พร้อมปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง 1 ครั้ง |
11,500 |
พญ.อิสรีย์ หาญอุทัยรัศมี
ออกตรวจทุกวันพุธ
เวลา 16.00-18.00 น. |
2. ปากกาลดน้ำหนัก 5 ด้าม พร้อมปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง 1 ครั้ง |
18,500 |
พญ.สุขุมาลย์ สว่างวารี
ออกตรวจทุกวันจันทร์
เวลา 09.00-15.00 น.
|
ต้องการนัดหมายปรึกษาแพทย์ โทร 02-1187922 |
เงื่อนไขการรับบริการ
- ราคาดังกล่าว รวมค่าแพทย์ปรึกษาในครั้งแรก และค่าบริการโรงพยาบาลแล้ว/li>
- ราคาดังกล่าว ไม่รวมค่าตรวจสุขภาพก่อนเข้ารับคำปรึกษา
- ราคาดังกล่าว ไม่รวมค่าแพทย์ติดตามอาการ
- โปรแกรมนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดจากไลน์ หรือส่วนลดอื่นๆ ได้อีก
- โปรแกรมดังกล่าว สามารถซื้อและใช้บริการได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2565 เท่านั้น
- สามารถใช้บริการได้ที่ โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ ถ.เยาวราช เท่านั้น
- ราคาดังกล่าวเฉพาะคนไทย และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
โปรแกรม
|
ราคา (บาท) |
ช่องทางการจอง |
1. โปรแกรมตรวจสุขภาพก่อนใช้ปากกาลดน้ำหนัก (รายละเอียด คลิก) |
2,800 |
จองผ่านเว็บ |
เงื่อนไขการรับบริการ
- ราคาดังกล่าว รวมค่าแพทย์ และค่าบริการโรงพยาบาลแล้ว
- โปรแกรมนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดจากไลน์ หรือส่วนลดอื่นๆ ได้อีก
- โปรแกรมดังกล่าว สามารถซื้อและใช้บริการได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2565 เท่านั้น
- สามารถใช้บริการได้ที่ โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ ถ.เยาวราช เท่านั้น
- ราคาดังกล่าวเฉพาะคนไทย และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
การคำนวณค่า BMI เป็นปัจจัยสำคัญในการตรวจดูดัชนีมวลกายทั้งหมดของผู้ป่วย เพื่อให้ทางแพทย์วินิจฉัยสภาพปริมาณไขมันสะสมในร่างกายปัจจุบันและโอกาสการเกิดโรคแทรกซ้อนมากน้อยแค่ไหน หากผู้สนใจที่ต้องการตรวจหาค่า BMI มวลร่างกายของตัวเอง ทางแพทย์ขอแนะนำการ
ตรวจสุขภาพประจำปีของทาง
โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ พร้อมอุปกรณ์เครื่องคํานวณ BMI ที่ทันสมัย สามารถวัดผลได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้เสียเวลา โดยติดต่อสอบถามได้ที่ Line
@samitivejchinatown หรือเบอร์ 02-118-7893 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง